2
Google search engine

มังกรทลายฟ้า Ode To Gallantry ตอนที่ 1-32 [จบ] พากย์ไทย

มังกรทลายฟ้า Ode to Gallantry (俠客行)

เรื่องราวของเจี๊ยะพั่วเทียน เด็กชายที่แม่เรียกว่า “ไอ้ลูกสำส่อน” ที่ก้าวสู่ยอดจอมยุทธที่มีกำลังภายในลึกล้ำที่สุดในนิยาย 15 เรื่องของกิมย้ง
เรื่องของสือจงอี้ และแฝดผู้น้อง สือพั่วเทียน ได้พบกับผู้ถือคำสั่งของเกาะสวรรค์ ที่ส่งเทียบเชิญให้แก่ชาวยุทธทั่วหล้า ความจริงเกาะสวรรค์นี้มีสุดยอดเคล็ดวิชาที่บรรดาสุดยอดฝีมือปรารถนาที่จะฝึก เจ้าเกาะมุ่งหวังให้ชาวยุทธได้ศึกษา แต่เกาะสวรรค์แห่งนี้มีคำล่ำลือว่าผู้ใดก็ตามที่ย่างกรายเข้าไปจะไม่มีวันรอดชีวิตกลับมาความจริงแล้ว เหล่าผู้ที่มาเกาะสวรรค์ล้วนหลงใหลในวรยุทธจนไม่คิดที่จะกลับออกมา ในหมู่คนที่หลงใหลวิชายุทธ มีมารร้ายคนหนึ่งต้องการฝึกวิชานี้เพื่อครอบครองความเป็นใหญ่ สือจงอี้และสือพั่วเทียนจึงต้องพยายามหาทางกำจัดมารร้าย เพื่อให้ยุทธภพมีแต่ความสงบสุข #มังกรทลายฟ้า

 

เรื่องย่อ มังกรทลายฟ้า (Ode to Gallantry)

(https://luvasianseries.blogspot.com/2018/09/ode-to-gallantry.html)

สองสามีภรรยา “สือชิง” [เจี๊ยะเช็ง] กับ “หมิ่นโหรว” [เมี่ยงยิ้ว] เจ้าของฉายา “จอมกระบี่ดำขาวแห่งหมู่ตึกสุขุม” (กระบี่คู่สุขุม) มีลูกชายฝาแฝดคู่หนึ่ง แต่หนึ่งในลูกน้อยที่ชื่อ “สือจงเจียน” [เจี๊ยะตงเกียง] ถูก “เหมยฟางกู” (ซึ่งแอบหลงรักสือชิง) ลักพาตัว ทั้งคู่คิดว่าจงเจียน [เกียงยี้] โดนฟางกูฆ่าตายแล้วจึงทุ่มเทความรักให้กับ “สือจงอวี้” [เจี๊ยะตงเง็ก หรือ เง็กยี้] หลังถูกมารดาตามใจมากเข้าจงอวี้ก็เริ่มดื้อรั้นและเสียผู้เสียคน สือชิงจึงส่งลูกชายไปร่ำเรียนวิชาที่สำนักเสวี่ยซาน [สำนักเซาะซัว] ในเมืองหลิงเซียว (นครเทียมเมฆ) โดยฝากให้เป็นศิษย์ของ “เฟิงว่านหลี่” [ฮงบ้วนลี้] เจ้าของฉายา “มังกรวาตะอัคคี”  (ศิษย์เอกของสำนักเสวี่ยซาน)… เพียงชั่วพริบตาวันเวลาก็ล่วงเลยไปนานสามปี

* หมายเหตุ: ชื่อเฉพาะต่างๆ ในที่นี้เป็นภาษาจีนกลาง ส่วน [ในวงเล็บเหลี่ยม] เป็นชื่อสำเนียงแต้จิ๋วตามที่ปรากฏในนิยายซึ่งแปลโดย น.นพรัตน์

ณ ดินแดนจงหยวน [ตงง้วน] (บริเวณที่ราบตอนกลางของจีน) เหล่าจอมยุทธต่างกำลังอกสั่นขวัญผวาเพราะใกล้ถึงเวลาที่ จางซาน” [เตียซา] และ “หลี่ซื่อ” [ลี้สี่] สองทูตบำเหน็จลงทัณฑ์ (บำเหน็จความดี ลงทัณฑ์ความชั่ว) แห่งเกาะวีรบุรุษจะมาปรากฎตัว เป็นที่รู้กันว่าทั้งคู่จะเดินทางมาที่จงหยวนทุกๆ สิบปีเพื่อส่งเทียบเชิญให้เหล่าเจ้าสำนักและประมุขพรรคต่างๆ ในยุทธภพไปกินข้าวต้มเดือนสิบสองที่เกาะวีรบุรุษ หากสำนักหรือพรรคใดปฏิเสธจะถูกกวาดล้างสังหารจนหมดสิ้น ส่วนยอดฝีมือที่ตอบรับคำเชิญต่างหายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่เคยมีใครได้กลับมา

 

เหล่าบรรดาจอมยุทธจึงพากันเดินทางไปยังสำนักเสวี่ยซานหมายอวยพรวันเกิดเจ้าสำนัก “ไป๋จื้อจ้าย” [แป๊ะจื่อไจ๋] เจ้าของฉายา “ท่านอำนาจบารมี” และใช้โอกาสนี้ระดมความคิดเพื่อหาวิธีรับมือสองทูตบำเหน็จลงทัณฑ์ ซึ่งในจำนวนนั้นยังรวมถึงจอมกระบี่ดำขาวแห่งหมู่ตึกสุขุมที่หวังเดินทางไปเยี่ยมจงอวี้ผู้เป็นบุตรชายอีกด้วย โชคร้ายที่ในตอนนั้นจงอวี้ถูก “หวังว่านเริ่น” [เฮ้งบ้วนยิ่ม] จัดฉากใส่ร้ายป้ายความผิด  (หลังจงอวี้โม้ว่ากระบี่ดำขาวของบิดามารดาตนเป็นศาตราวุธอันดับหนึ่งในใต้หล้า แถมฝีมือทั้งคู่ยังเหนือกว่าว่านเริ่นและสำนักเสวี่ยซาน) สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายหนักเมื่อจงอวี้บังเอิญวิ่งหนีการไล่ล่าเข้าไปในห้องที่ “ไป๋อาซิ่ว” (หลานสาวเจ้าสำนักเสวี่ยซาน)  กำลังแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ (ศิษย์คนอื่นๆ จึงไล่ตามเข้าไปด้วย) หลังถูกใส่ร้ายและโดนกดดันจงอวี้จึงตัดสินใจกระโดดออกจากหน้าต่างสู่หุบเหวลึก

ไป๋จื้อจ้ายรู้ว่าเหล่าจอมยุทธหวังให้ตนออกโรงปราบสองทูตบำเหน็จลงทัณฑ์ในฐานะที่ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นเจ้าสำนักอันดับหนึ่ง เขาจึงคิดหาตัวช่วยด้วยการให้ “ไป๋ว่านเจี้ยน” [แป๊ะบ้วนเกี่ยม] ผู้เป็นบุตรชายไปสืบดูว่า “ประกาศิตเหล็กดำ” อันสุดท้ายของยอดฝีมือ  เซี่ยเยียนเค่อ” [เจี่ยอิงแขะ] แห่งผากระทบฟ้า (ซึ่งเป็นที่หมายปองของเหล่าจอมยุทธ) อยู่ในความครอบครองของใคร ทั้งนี้เพราะเยียนเค่อผู้ยึดถือสัจจะเหนือสิ่งอื่นใด (แต่ไม่ยึดถือธรรมะและอธรรม มักเข่นฆ่าคนตามใจชอบ) ได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่า เขาจะรับปากทำตามคำร้องขอของผู้ครอบครองประกาศิตเหล็กดำหนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ตาม ต่อให้ผู้ร้องขอเป็นศัตรูก็จะไม่ทำร้าย (เดิมมีสามอัน แต่เยียนเค่อเก็บกลับคืนมาแล้วสองอันเพราะเกรงว่าจะตกอยู่ในมือคนชั่วและนำภัยมาสู่ตน)

หลังรู้ว่าประกาศิตเหล็กดำอยู่ในความครอบครองของ “อู๋เต้าทง” [โง้วเต๋าทง] ซึ่งปลอมตัวเป็นคนขายขนมเปี๊ยะทอด (เซาปิ่ง) ในเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อว่าโหวเจียนจี๋ [โฮ้วก่ำจิบ] ไป๋จื้อจ้ายจึงสั่งให้ว่านเจี้ยนไปชิงประกาศิตเหล็กดำมาให้ตน เพื่อที่ตนจะได้สั่งให้เยียนเค่อไปจัดการสองทูตบำเหน็จลงทัณฑ์ ว่านเจี้ยนจึงระดมศิษย์ฝีมือดีในสำนัก รวมทั้งศิษย์หญิง “ฮัวว่านจื่อ” [ฮวยบ้วนจี่] ให้ออกเดินทางไปกับตน เมื่อจอมกระบี่ดำขาวรู้เข้าจึงอาสาร่วมเดินทางโดยหวังว่าเสร็จธุระแล้วจะได้พบหน้าลูก (ในตอนนั้นทั้งคู่รู้เพียงว่าจงอวี้ทำผิดกฏสำนักจึงถูกลงโทษ แต่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น)

ขอทานน้อย “โก่วจ๋าจ่ง”  [เก้าจับเจ้ง] (ลูกสำส่อน) ซึ่งมีใบหน้าเหมือนจงอวี้เปี๊ยบ เที่ยวออกตามหาแม่และสุนัขคู่ใจในตลาดเมืองโหวเจียนจี๋ ครั้นเดินมาถึงแผงขายขนมเปี๊ยะทอดเขาจึงอดหยุดมองด้วยความหิวไม่ได้ ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มใหญ่ควบม้าตรงมายังแผงขายขนมเปี๊ยะทอดในตลาด ทำเอาชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์พากันตื่นตระหนก เต้าทงรู้ตัวดีว่ากำลังจะมีภัย ถึงกระนั้นเขาก็แกล้งทำเป็นนวดแป้งขนมต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่แท้ผู้มาเยือนคือกลุ่มโจรค่ายดาบทองนำโดยรองหัวหน้าค่ายนามว่า “โจวมู่” [จิวมก] เขาเตือนเหล่าชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องให้ถอยไป เหล่าชาวบ้านที่มายืนมุงจึงพากันสลายตัว ส่วนผู้ที่ทำมาค้าขายหรือพักอาศัยในละแวกดังกล่าวต่างกลับเข้าเคหสถานและพร้อมใจกันปิดประตูเงียบ โก่วจ๋าจ่งไม่มีที่ไปเลยแอบซ่อนตัวหลังบันไดใกล้ร้านขายขนมเปี๊ยะทอด

โจวมู่เห็นคนขายขนมเปี๊ยะทอดเตรียมเก็บของหนีจึงร้องเรียก “อู๋เต้าทง!” หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดฉากต่อสู้กันจนขนมเปี๊ยะทอดร่วงกระจายเกลื่อนพื้น แม้เต้าทงจะเป็นยอดฝีมือแต่เขาเพียงลำพังไม่อาจต่อกรกับศัตรูที่เข้ามากลุ้มรุมเป็นจำนวนมากได้ สุดท้ายก็ถูกรุมแทงจนล้มลงไปนอนแน่นิ่ง หลังจากนั้นโจวมู่ก็สั่งให้ลูกน้องเข้าไปตรวจค้นดูภายในร้าน ส่วนตัวเขาค้นตัวเต้าทง ครั้นพบถุงใบเล็กๆ สีแดงเขาก็ยิ้มอย่างพึงพอใจและแอบเก็บซ่อนไว้โดยไม่ให้ใครรู้ เมื่อลูกน้องรายงานว่าไม่พบสิ่งใดเขาจึงสั่งให้ทุกคนล่าถอย

คืนนั้นโก่วจ๋าจ่งเห็นว่าทุกอย่างเงียบสงบและค่อนข้างปลอดภัยแล้ว จึงย่องออกมาเก็บขนมเปี๊ยะทอดที่หล่นอยู่บนพื้นแล้วกลับไปนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยข้างบันได เมื่ออู๋เต้าทงรู้สึกตัวแล้วเห็นขอทานหนุ่มกำลังนั่งกินขนมเปี๊ยะทอดของตนแถมยังตุนไว้เต็มมือ เขาจึงยันกายลุกขึ้นแล้วเดินไปทวงขนมทั้งที่มีกระบี่ปักคาอก โก่วจ๋าจ่งเห็นดังนั้นก็รู้สึกตกใจและพยายามถอยหนีแต่อู๋เต้าทงยังตามทวงไม่เลิก  ครั้นเสียหลักล้มหงายหลังโก่วจ๋าจ่งจึงหลับหูหลับตาร้องไล่พลางถีบเท้าดิ้นพราดๆ ด้วยความตกใจกลัว  หลังโดนโก่วจ๋าจ่งถีบ กระบี่ที่ปักคาอกอู๋เต้าทงก็เสียบลึกลงไปทำให้เขาสิ้นใจตายทันที  โก่วจ๋าจ่งเห็นอู๋เต้าทงล้มลงไปนอนแน่นิ่งก็รู้สึกตกใจ เขารีบโยนขนมในมือคืนให้จากนั้นก็วิ่งกลับไปซ่อนตัวหลังบันไดด้วยความหวาดกลัว

อาซิ่วนั่งเศร้าอยู่ภายในห้องพลางนึกถึงเหตุอัปยศที่เกิดขึ้นในวันนี้ ซ้ำร้ายไป๋จื้อจ้ายปู่ของเธอยังห่วงชื่อเสียงและหน้าตาของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด จึงกล่าวโทษและตำหนิเธออย่างรุนแรงโดยไม่สอบถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซ้ำยังไล่ให้เธอไปตายหนีความอับอายอีกด้วย อาซิ่วหันไปมองหน้าต่างพลางนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่จงอวี้ทิ้งตัวลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง  เธอจึงเดินไปเปิดหน้าต่างบานใหญ่แล้วนั่งร้องไห้ริมขอบหน้าต่าง… สื่อเสี่ยวชุ่ย” ทั้งโกรธและผิดหวังที่ไป๋จื้อจ้ายปักใจเชื่อคำพูดคนอื่น (ว่าจงอวี้ลวนลามอาซิ่ว) โดยไม่สอบถามข้อเท็จจริงจากปากหลานสาวสักคำ ซ้ำยังบอกให้หลานสาวฆ่าตัวตายเพื่อรักษาหน้าตาตน ทั้งๆ ที่เขาและสำนักเสวี่ยซานไม่ได้เก่งจริงสมคำร่ำลือ ไป๋จื้อจ้ายซึ่งหลงตัวเองและชอบให้คนยกยอปอปั้นได้ยินดังนั้นจึงเดือดจัด ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นลงมือลงไม้ หลังถูกไป๋จื้อจ้ายตบหน้าเธอจึงลั่นวาจาว่าจะไม่กลับมาเหยีบสำนักเสวี่ยซานจนกว่าฝีมือจะเหนือกว่าไป๋จื้อจ้าย (ซึ่งอ้างว่าตนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง) หลังจากนั้นเธอก็แวะไปหาอาซิ่วที่ห้อง และเดินออกมาบอกศิษย์สำนักเสวี่ยซานว่าอาซิ่วกระโดดหน้าผาแล้ว ครั้นได้รับรายงานว่าหลานสาวกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย แถมสื่อเสี่ยวชุ่ยผู้เป็นภรรยายังทิ้งจดหมายอำลาเอาไว้ให้ ไป๋จื้อจ้ายก็รู้สึกเสียใจ

เมื่อเหล่าศิษย์สำนักเสวี่ยซานนำโดยว่านเจี้ยนและจอมกระบี่ดำขาว เดินทางมาถึงร้านขายขนมเปี๊ยะทอดก็พบว่าอู๋เต้าทงเพิ่งเสียชีวิตเพราะคมกระบี่ของค่ายดาบทอง จอมกระบี่ดำขาวรู้จักหัวหน้าค่ายดาบทอง “อันจินเตา” [อันกิมตอ]  (ดาบทองแซ่อัน) จึงอาสาตามไปชิงประกาศิตเหล็กดำ แต่แล้วกลับพบว่าในถุงแดงที่โจวมู่ได้มามีเพียงเหรียญทองแดงเท่านั้น ว่านเจี้ยนและจอมกระบี่ดำขาวจึงย้อนกลับไปที่ร้านของอู๋เต้าทงอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น (โจวมู่แอบสะกดรอยตามและคอยจับตาดูอยู่ห่างๆ) ว่านเจี้ยนกลัวชื่อเสียงสำนักแปดเปื้อนเลยวานให้จอมกระบี่ดำขาวช่วยออกหน้าค้นหาประกาศิตเหล็กดำ โดยอ้างว่าพวกตนจะคอยคุ้มกันให้ หลังตรวจสอบแล้วไม่พบอะไรจอมกระบี่ดำขาวจึงเดินกลับไปที่ม้า สือชิงเหลือบเห็นขอทานหนุ่มผมเผ้ารุงรังหลบอยู่ใต้บันไดก็อดนึกถึงจงอวี้ไม่ได้เพราะทั้งคู่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หมิ่นโหรวเห็นขอทานหนุ่มโก่วจ๋าจ่งแล้วรู้สึกสงสารจึงทิ้งเงินไว้ให้ก่อนจากไป

หลังกระโดดออกจากหน้าต่างบนผาสูงแล้ว จงอวี้ก็ไถลตกลงไปในปล่องถ้ำทำให้รอดตายราวปาฏิหาริย์ ปรากฏว่าภายในถ้ำยังมีคนของพรรคสุขนิรันดร์ซึ่งกำลังมีเรื่องบาดหมาง และต่างก็ได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจขยับเขยื้อนเนื้อตัวได้ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ “ซือถูเหิง” ผู้เป็นประมุข ซึ่งยอมตายแต่ไม่ยอมกลับพรรคเพราะกลัวเทียบเชิญของทูตบำเหน็จลงทัณฑ์ ขณะที่อีกฝ่ายได้แก่ “เป้ยไห่สือ” [ป้วยซิงแซ] และสมุนซ้าย-ขวา ซึ่งมาตามซือถูเหิงกลับพรรคหวังให้อยู่รับหน้าสองทูตบำเหน็จลงทัณฑ์ (มิเช่นนั้นกรรมจะตกที่พวกตน) เป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้กัน แม้ซือถูเหิงมีฝีมือเหนือกว่าแต่เขาบาดเจ็บสาหัสเลยต้องพักฟื้นฟูพลังภายใน ถึงกระนั้นเขาก็ซัดฝ่ามือหยินหยางใส่เป้ยไห่สือและพวก ทำให้ทั้งสามคนไม่อาจขยับตัวและกำลังจะตายในไม่ช้า

เมื่อจงอวี้ฟื้นคืนสติก็พบว่าตนเองนอนอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย (แต่อยู่บนแผ่นหินเดียวกันกับซือถูเหิง) เป้ยไห่สือพยายามหว่านล้อมให้จงอวี้สังหารซือถูเหิง โดยอ้างว่าซือถูเหิงเป็นคนชั่ว หากเขาฟื้นฟูพลังได้สำเร็จเมื่อไหร่ทุกคนจะตายกันหมด แต่จงอวี้ปฏิเสธเพราะตนกับซือถูเหิงไม่มีความแค้นต่อกัน เป้ยไห่สือเลยนำตำแหน่งประมุขพรรคสุขนิรันดร์มาล่อ และเตือนว่าจงอวี้ไม่สามารถลงสู่ก้นเหวได้ด้วยตนเอง จงอวี้ไม่ต้องการฆ่าคนเลยอาสาช่วยเป้ยไห่สือแทนเพื่อให้เขาช่วยพาตนลงจากหุบเหว เป้ยไห่สือรับปาก จากนั้นก็ชวนสมุนทั้งสองสาบานว่าจะนับถือจงอวี้เป็นผู้มีคุณและจะทำตามคำสั่งทุกอย่าง

ขณะกำลังจะเดินทางกลับ สือชิงเห็นหัวหน้าค่ายดาบทองและเหล่าสมุนแอบทำตัวลับๆล่อๆ จึงร้องเรียกและชี้ว่าพวกตนไม่พบอะไรเช่นกัน  หลังต่างฝ่ายต่างร่ำลาและแยกย้ายกันกลับคนละทาง ขอทานหนุ่มก็คว้าเงินใส่ย่ามและเดินออกมาเก็บขนมเปี๊ยะทอดที่หล่นอยู่บนพื้น ขณะกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยเขาก็ร้องโอดโอยเสียงดังลั่นหลังฟันกระแทกกับของแข็งบางอย่าง ครั้นหยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นแผ่นเหล็กสีดำ เมื่อหัวหน้าอันค่ายดาบทอง เหล่าศิษย์สำนักเสวี่ยซานนำโดยว่านเจี้ยน และจอมกระบี่ดำขาว หันหลังกลับไปมองก็พบว่าประกาศิตเหล็กดำที่พวกตนตามหาอยู่ในมือขอทานหนุ่ม ทุกคนจึงพร้อมใจกันชักกระบี่แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาขอทานหนุ่ม (ซึ่งยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย) จากนั้นก็ร้องบอกให้ขอทานหนุ่มส่งของในมือมาให้ตน

เป้ยไห่สือเดาว่าจงอวี้คงทำความผิดมหันต์เลยหนีออกมาจากสำนักเสวี่ยซาน และชี้ว่าหากเขารอดไปได้คงไม่วายถูกตามล่า จงอวี้รู้ว่าเป้ยไห่สือกำลังหว่านล้อมตนจึงยืนกรานว่าตนจะไม่ยอมให้ใครยืมมือฆ่าคนโดยเด็ดขาด หากจำเป็นต้องฆ่า ตนก็จะฆ่าทุกคน เป้ยไห่สือชี้ว่าหากพวกตนตายหมดแล้วจงอวี้จะออกจากที่นี่หรือมีชีวิตรอดได้อย่างไร หากจงอวี้ยอมช่วยตนๆ จะคอยปกป้องไม่ให้ใครมาทำร้าย จากนั้นก็ขอให้จงอวี้ช่วยเปิดจุดชีพจรให้ตน ซือถูเหิงเตือนจงอวี้ว่าเขากำลังโดนหลอก เป้ยไห่สือแย้งว่าพวกตนยึดถือสัจจะ ทั้งยังสาบานว่าจะไม่ลงมือทำร้ายซือถูเหิง จงอวี้ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสับสน ในที่สุดจงอวี้ก็ช่วยเปิดจุดชีพจรให้เป้ยไห่สือ ซือถูเหิงเห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าหาหมายเล่นงานเป้ยไห่สือ แต่เป้ยไห่สือไหวตัวทันจึงผลักกระบี่ในมือจงอวี้ปลิดชีพซือถูเหิง

ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างยืนคุมเชิงหวังแย่งชิงประกาศิตเหล็กดำในมือขอทานหนุ่ม เซี่ยเยียนเค่อแห่งผากระทบฟ้าก็ปรากฏกายต่อหน้าทุกคน และชิงประกาศิตเหล็กดำชิ้นสุดท้ายกลับคืนมาได้ (แต่แอบฝากไว้ที่ขอทานหนุ่มก่อนเปิดฉากต่อสู้) หมิ่นโหรวชี้ว่าเซี่ยเยียนเค่อได้ประกาศิตเหล็กดำมากจากขอทาน จึงควรรักษาสัจจะด้วยการทำตามคำขอของขอทานหนุ่ม เซี่ยเยียนเค่อจึงบอกให้ขอทานหนุ่มโก่วจ๋าจ่งเอ่ยปากว่าอยากให้ตนช่วยอะไร ฮัวว่านจื่อแห่งสำนักเสวี่ยซานแนะขอทานหนุ่มให้ขอประกาศิตเหล็กดำมาให้สำนักตน เซี่ยเยียนเค่อจึงลงมือสั่งสอนก่อนลักพาตัวขอทานหนุ่มไปเค้นถามเพราะเกรงว่าจะเป็นหลุมพรางและมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง (เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของทูตบำเหน็จลงทัณฑ์) พอรู้ว่าขอทานหนุ่มได้ประกาศิตเหล็กดำมาไว้ในความครอบครองเพราะความบังเอิญ เขาจึงพยายามหลอกล่อให้ขอทานหนุ่มร้องขอในเรื่องง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าขอทานหนุ่มผู้ใสซื่อและโง่งม (แต่มีความจำเป็นเลิศ) จะยึดถือคติชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันเอ่ยปากขอร้องใคร ขอทานหนุ่มจึงไม่ยอมร้องขอสิ่งใดจากเซี่ยเยียนเค่อ ทำให้เซี่ยเยียนเค่อไม่อาจไปจากขอทานหนุ่มได้ (เพราะประกาศิตเหล็กดำยังอยู่ที่ขอทานหนุ่ม เขาจึงกลัวว่าจะมีคนใช้ขอทานหนุ่มเป็นเครื่องมือในการขอร้องให้ตนทำเรื่องไม่ดี) แถมเขายังเป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือจากขอทานหนุ่มอีกต่างหาก

ในที่สุดจงอวี้ก็กลายเป็นประมุขพรรคสุขนิรันดร์ โดยมีเป้ยไห่สือคอยช่วยเหลือ ชักใยอยู่เบื้องหลัง และตามใจทุกอย่าง ทั้งยังปล่อยให้ทำตัวเจ้าชู้เสเพล (ขณะช่วยสวมชุดประมุขพรรค เขาสังเกตเห็นตำหนิและรอยแผลเป็นของจงอวี้) ขณะที่ว่านเจี้ยนกำลังเดินทางกลับหลังชิงประกาศิตเหล็กดำไม่สำเร็จ เขาก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายว่าสำนักเสวี่ยซานกำลังระส่ำระสาย ทั้งนี้เพราะไป๋จื้อจ้ายเกิดสติแตกเพราะเสียใจและรู้สึกเสียหน้าหลังสูญเสียทั้งหลานสาวและภรรยา (ไป๋จื้อจ้ายคิดว่าเสี่ยวชุ่ยหนีไปหาชายอื่น) เขาอาการหนักถึงขั้นฟันศิษย์เอกเฟิงว่านหลี่ที่พยายามพูดเตือนสติจนแขนขาดหนึ่งข้าง ทั้งยังเข่นฆ่าศิษย์ไม่เลือกหน้า และคิดสังหารหมู่เหล่ายอดฝีมือผู้มาเยือน (ซึ่งมาอวยพรวันเกิดและยังคงพักที่สำนัก) รวมทั้งศิษย์ทุกคนเพื่อเป็นการปิดปากอีกด้วย ว่านเจี้ยนทั้งโกรธแค้นและเสียใจหลังรู้เรื่องราวทั้งหมด ทั้งยังรับไม่ได้ที่บิดาคิดเข่นฆ่าผู้คนจึงแอบวางยาสลบบิดาแล้วจับล่ามโซ่ จากนั้นก็นำศิษย์ลงเขาหมายตามหาแม่และล้างแค้นให้ลูก หลังค้นหาแล้วไม่พบศพจงอวี้ ว่านเจี้ยนจึงนำกำลังไปค้นหมู่ตึกสุขุมของจอมกระบี่ดำขาวก่อนเผาหมู่ตึกจนไหม้เป็นจุณ

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรติดตามชมได้ใน “มังกรทลายฟ้า” (Ode to Gallantry) ทางไทยรัฐทีวี

* เนื้อหาโดย luvasianseries

You Might Be Interested In

3
Google search engine